นักเทรด หรือ เทรดเดอร์ มักจะถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ร่ำรวย สามารถสร้างกำไรได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่เบื้องลึกแล้วนั้นกว่าจะประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ได้จำเป็นมากที่จะต้องเรียนรู้กลยุทธ์ต่าง ๆ มากมาย เพื่อค้นหาระบบการเทรดของตัวเอง สำหรับในบทความนี้พวกเราจึงได้รวบรวม 10 กลยุทธ์การเทรด Forex ที่เซียนใช้ มาแนะนำครับ ซึ่งปัจจัยสำคัญในการสร้างกำไรในตลาด Forex นั้น นักเทรดจะต้องมีวินัยขั้นสูง มีแผนการเทรด การควบคุมอารมณ์ ยอมรับความเสี่ยง เป็นต้น แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ไม่เหมือนกันคือ กลยุทธ์ที่นำไปปรับใช้นั่นเอง ถ้าหากคุณเป็นเทรดเดอร์มือใหม่ ต้องการหาท่าไม้ตายของตัวเองพวกเราได้สรุปข้อมูลของทุกกลยุทธ์มาไว้แล้วในบทความนี้ครับ
สไตล์การเทรด สู่ การเลือกกลยุทธ์
ก่อนที่จะเลือกระบบการเทรดของตัวเองนั้น เทรดเดอร์ต้องเลือกสไตล์การเทรดของตัวเองก่อนว่า มีความถนัดในรูปแบบใด และ จัดการตัวเองว่าคุณมีนิสัยการเทรดแบบไหน
Scalping เทรดระยะสั้น
- เป็นสไตล์การเทรดที่ทำกำไรได้ในจำนวนไม่มาก แต่รวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วินาที หรือ นาที
- จุดเด่นคือ สามารถสร้างกำไรได้อย่างรวดเร็ว อาศัยความผันผวนของตลาดในช่วงสำคัญ และ เทรดได้บ่อย
- จุดด้อยคือ ความเสี่ยงสูงมาก, ต้องมีวินัยปิดออเดอร์ หรือ ยอมขาดทุนตามแผน
- ข้อควรระวัง : ในช่วงตลาดผันผวนสูง ถ้าเปิดออเดอร์ผิดทางอาจจะทำให้เสี่ยงขาดทุนมากกว่าสร้างกำไร
- แนะนำ: การเทรดแบบ Scalping ควรเทรดในช่วงตลาดผันผวนต่ำ เพราะจะสามารถคาดเดาได้ค่อนข้างง่าย
- ใช้ Time Frame (TF) 5 นาที ในการคาดเดา
Day trading เทรดรายวัน
- เป็นสไตล์การเทรด เปิดหรือปิดคำสั่งในวันเดียวกัน จะไม่ค้างไม้ ซึ่งจะต้องมีการวิเคราะห์แนวโน้มของราคา เพื่อทำการตัดสินใจครับ
- จุดเด่น คือ ได้กำไรสูง พร้อมกับในระหว่างวันมีโอกาสในการสร้างกำไร
- จุดด้อย คือ มีความเสี่ยงสูงมากเรื่องความผันผวนของตลาด
- ข้อควรระวัง: หากมีประสบการณ์เทรดน้อย เงินทุนต่ำ อาจจะใช้อารมณ์ในการเทรดและขาดทุนได้ง่าย
- แนะนำ: เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาเฝ้าดูราคา และ ผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงสูงได้ต่อวัน
Swing trading เทรดรายสัปดาห์
- เป็นสไตล์การเทรดที่เทรดตามราคาในระยะ 2-3 วัน หรือ ในช่วงสัปดาห์ ไม่จำเป็นต้องมานั่งเฝ้าตามดูราคาทั้งวัน วางแผนและเทรดตามราคาที่คาดเดา
- ข้อดี : หากวางแผนดี วิเคราะห์แม่น จะสร้างกำไรได้สูง
- ข้อเสีย: ต้องมีความรู้เทคนิคขั้นสูง และ ทนถือกำไรเป็นเวลาหลายวัน
- ข้อควรระวัง: หากเทรนด์ของตลาดเป็นขาขึ้น ไม่ควรสวนเทรนด์ เพราะโอกาสในการสร้างกำไรน้อย
- แนะนำ: ใช้โบรกเกอร์ที่ไม่มีค่า Swap จะเหมาะมาก กับ สไตล์การเทรดแบบนี้
Position trading ระยะยาว
- เป็นสไตล์การเทรดแบบถือยาว เป็นเวลาหลายสัปดาห์ หรือ หลายเดือน ต้องมีเงินทุนในบัญชีที่สูงพอ
- ข้อดี: ความเสี่ยงต่ำ
- ข้อเสีย: ไม่เหมาะสำหรับคนที่อยากสร้างกำไรในเวลาอันรวดเร็ว
- ข้อควรระวัง: ใช้ได้แค่คู่เงินตลาด FX บางผลิตภัณฑ์ ที่มีความผันผวนน้อย
- แนะนำ: เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนในตลาดระยะยาว และ เลือกบัญชี Free Swap จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
หลังจากที่ได้เลือกแล้วว่าสไตล์การเทรดของคุณเป็นแบบไหน คราวนี้เรามาลองดูกลยุทธ์ที่สำคัญ ทั้งวิธีการใช้งาน ข้อดี ข้อเสีย รวมไปถึงข้อควรระวังของการใช้งานซึ่งพวกเราได้สรุปมาแบบเข้าใจง่ายแล้วดังนี้
กลยุทธ์ Moving Average
Moving Average คือเครื่องมือ อินดิเคเตอร์ ที่จะช่วยหาแนวโน้มของตลาด ณ ปัจจุบัน ว่าอยู่ในช่วงขาขึ้น หรือ กำลังเป็นขาลง โดยเทรดเดอร์นั้นจะใช้เครื่องมือตัวนี้อยู่ด้วยกัน 2 ประเภท แล้วแต่ความชอบส่วนตัวซึ่งได้แก่
- Simple Moving Average (SMA)
- Exponential Moving Average (EMA)
วิธีการใช้งาน
- ให้มองหาจุดตัดกันระหว่างเส้นราคา กับ เส้น Moving Average
- หากเส้นราคาตัดขึ้นเหนือเส้น Moving Average ระยะเวลาที่นานกว่า จะเป็นสัญญาณให้เข้า ซื้อ (BUY)
- หากเส้นราคาตัดลงเส้น Moving Average ระยะเวลาที่นานกว่า จะเป็นสัญญาณให้ขาย (Sell)
ข้อดี
- เป็นกลยุทธ์ที่ดูเส้นแล้วเข้าใจง่ายถึงเทรนด์ของตลาด ว่าอยู่ในขาขึ้น หรือ ขาลง
- สามารถมองเห็นจุดเข้าซื้อ หรือ ขาย ได้อย่างง่าย
ข้อเสีย
- ช่วงเวลาที่ตลาดไม่มีความเคลื่อนไหว จะไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ราคานั้นจะไปทางไหน
- ช่วงความผันผวนสูง การประกาศข่าวเศรษฐกิจ อาจจะใช้กลยุทธ์นี้ไม่ได้
ข้อควรระวัง
- หากคุณเป็นนักเทรดแบบ Scalping กลยุทธ์นี้เหมาะที่จะสร้างกำไร แต่จะต้องมีแผน และ บริหารความเสี่ยง
รูป 1 กลยุทธ์ Moving Average
กลยุทธ์ 50 pips ต่อวัน
ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มีแผนการเทรดชัดเจน กับ คำว่า 50 Pips ต่อวัน โดยการหาจังหวะในการเข้าซื้อ หรือ ขาย ที่มีความเป็นไปได้สูง โดยกลยุทธ์นี้จะเน้นไปทาง นักเทรดคู่สกุลเงินที่มีสเปรดแคบมากที่สุดครับ
วิธีการใช้งาน
- ใช้กรอบเวลา M15 ในการวิเคราะห์
- ใช้เครื่องมือ Moving Average และ Relative Strength Index (RSI)
- เมื่อราคาวิ่งมาถึงแนวรับเดิมในกรอบเวลา 15 นาที จะเป็นสัญญาณให้เข้าซื้อ หรือ ขาย (ตามเทรนด์ของตลาด)
ข้อดี
- ทำกำไรระยะสั้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว
- เหมาะสำหรับคู่สกุลเงิน ที่มีค่าสเปรดต่ำ
ข้อเสีย
- หากตลาดไม่มีความเคลื่อนไหวมากพอ ก็จะไม่สามารถใช้กลยุทธ์นี้ได้
- ต้องนั่งเฝ้ากราฟ ติดตามราคาอย่างใกล้ชิด
ข้อควรระวัง
- ทุกออเดอร์ต้องมี TP 50 Pips และ มี SL ตามแผนการบริหารความเสี่ยง
รูป 2 กลยุทธ์ 50 Pips ต่อวัน
กลยุทธ์ Breakout ราคาทะลุกรอบ
การเบรกเอาท์ หรือ การทะลุแนวรับ แนวต้านของราคา แน่นอนเลยว่าจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ตลาดจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วนะ หรือ ราคาหลุดกรอบที่เคยวิ่งวนอยู่ออกไปแล้ว ดังนั้นการใช้ Breakout นั้นจะต้องรู้จักสิ่งสำคัญดังนี้
- ราคาของตลาด ทะลุขึ้นแนวต้านของราคา คือ สัญญาณที่บอกว่า ตลาดต้องการที่จะขึ้น
- ราคาของตลาด ทำลายแนวรับเดิม คือ สัญญาณที่บอกว่า ตลาดต้องการจะลง
วิธีใช้งาน
- ต้องรอให้ราคา ทะลุกรอบแนวรับ หรือ แนวต้าน ฝั่งใดฝั่งหนึ่งไปแล้ว
- รอให้ราคากลับมาที่จุดแนวเดิมเพื่อเป็นจุดในการเข้าออเดอร์
- กำหนด TP หรือ SL ตามแผนการเทรดของตนเอง
ข้อดี
- เป็นกลยุทธ์ที่บ่งบอกได้ว่าตลาดต้องการไปทางไหน ง่ายต่อการสร้างกำไร
- เป็นระบบเทรดที่นักเทรดหลายคนนิยมใช้สัญญาณนี้ในการเข้าเทรด และ เห็นผลได้
ข้อเสีย
- นักเทรดมือใหม่ที่ยังดูแนวรับ แนวต้าน ไม่เก่ง อาจไม่เหมาะสำหรับกลยุทธ์นี้
ข้อแนะนำ
- ในช่วงตลาดผันผวนรุนแรง ควรรอจังหวะ อาจเกิดการ Breakout หลอกได้
- พฤติกรรมของตลาด ที่กดราคาลงมาชน SL ก่อนที่ราคาจะทะลุขึ้นไปจุดเดิม
- ควรมีจุด TP และ SL ที่ชัดเจน เพื่อป้องกันความเสี่ยง
รูป 3 กลยุทธ์ Breakout
การเทรด Chart Pattern
กลยุทธ์นี้ค่อนข้างที่จะมีรายละเอียดที่ซับซ้อน เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ในตลาดมาในระดับหนึ่ง กับ รูปแบบของกราฟที่บอกเทรนด์ ตัวอย่างเช่น
- Head and Shoulders
- Double Tops
- Triangles
โดยทั้ง 3 รูปแบบที่กล่าวข้างต้น คือ Chart Pattern ที่ใช้คาดเดาการเคลื่อนที่ของราคาในอนาคต โดยใช้ เครื่องมืออย่าง Moving Averages และ Oscillators เพื่อช่วยยืนยันการเข้าออเดอร์ของเราครับ
วิธีใช้งาน
- Head and Shoulders แสดงว่ากำลังเป็นช่วงขาลง เพราะมีการขึ้นมาถึงราคาสูงที่สุดแล้ว ไม่ผ่านแนวต้านเดิม นั่นเป็นสัญญาณที่บอกว่า ราคากำลังเข้าสู่ช่วงขาลง
- Double Tops แสดงว่ากราฟกำลังกลับตัวเป็นขาลง
- Triangles (สามเหลี่ยม) แสดงว่าราคามีการพักตัว ซึ่งมีโอกาสที่จะลงต่อ
ข้อดี
- เป็นกลยุทธ์ที่ใช้งานได้จริง เป็นที่นิยมสำหรับนักเทรดมืออาชีพ
ข้อเสีย
- ค่อนข้างยากสำหรับการมองหาจุดเข้าออเดอร์ ต้องมีประสบการณ์ในการเข้าใจผลิตภัณฑ์นั้น
- ไม่เหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่ ต้องมีประสบการณ์เทรด
ข้อแนะนำ
- ควรมีการบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน มีแผนการเทรด
- ช่วงเวลาการประกาศตัวเลขข่าว ไม่ควรที่จะเข้าเทรดเพราะเสี่ยงมากที่ราคาจะผันผวนสูง
รูป 4 กลยุทธ์ Chart Pattern
กลยุทธ์ Trend Following
การหาทิศทางของตลาดจะเป็นกลยุทธ์ที่ได้เปรียบมากที่สุด นั่นก็คือ Trend Following หรือ การตามเทรนด์นั่นเองครับ แน่นอนเลยว่าเป็นระบบเทรดหากินของนักเทรด Forex มืออาชีพหลายคนเลยทีเดียว โดยมีวิธีการสังเกต และ การใช้งานดังนี้
- ใช้ อินดิเคเตอร์ Moving Average เพื่อดูแนวโน้มของราคา
- มองหาจุด Trend Reversal การกลับตัวของแนวโน้ม ในการเข้าเทรด
วิธีใช้งาน
- เป็นเทรนด์ขาขึ้น กราฟจะมีการย่อลง ให้รอสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มราคา Buy ถึงจะเข้าออเดอร์
- เป็นเทรนด์ขาลง กราฟจะมีการเด้งราคาขึ้น ให้รอสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มราคา Sell ถึงจะเข้าออเดอร์
ข้อดี
- บอกถึงเทรนด์การเทรดชัดเจน มีโอกาสในการสร้างกำไรได้มากกว่า
- เป็นกลยุทธ์ที่ดูง่าย วิเคราะห์ง่าย
ข้อเสีย
- การรอยืนยันแนวโน้มราคา หรือ จุด Trend Reversal อาจจะทำให้พลาดโอกาสในการสร้างกำไร ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาเฝ้ากราฟ
ข้อแนะนำ
- หากเทรนด์ราคาชัดเจนว่าเป็นฝั่งไหน ไม่แนะนำให้ สวนเทรนด์ของตลาด เพราะมีความเสี่ยงที่สูงมาก
รูป 5 กลยุทธ์ Trend Following
กลยุทธ์ Bounce
จะเรียกได้ว่าเป็นระบบเทรดที่ นักเทรดทั่วไป รวมถึงนักเทรดมืออาชีพ นั้นใช้งาน โดยเป็นกลยุทธ์ที่ต้องหาแนวรับ กับ แนวต้านที่สำคัญในตลาด เพราะราคายังไงก็ต้องย้อนกลับไปมาอยู่ในช่วงเวลานั้น ๆ
วิธีใช้งาน
- มองหาแนวรับ และ แนวต้านสำคัญ ตีเส้นเพื่อกำหนดกรอบราคา
- รอให้ราคาถึงแนวรับ หรือ แนวต้านสำคัญ ก่อนที่จะเข้าเทรด
- การกำหนดกำไร แนะนำว่าให้อยู่ในกรอบของแนวที่กำหนด
ข้อดี
- เหมาะสำหรับคู่สกุลเงิน หรือ พฤติกรรมของราคาที่สร้างกรอบแนวรับ แนวต้านสำคัญเอาไว้ชัดเจน
- สร้างกำไรแบบ Scalping เหมาะสำหรับเทรดระยะสั้น
ข้อเสีย
- หากแนวรับ แนวต้าน ไม่ชัดเจน ไม่แข็งแรง จะไม่สามารถใช้งานกลยุทธ์นี้ได้ 100%
- ไม่เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีค่า Spread กว้าง
ข้อควรระวัง
- การใช้กลยุทธ์ Bounce นั้น จะเหมาะมากสำหรับการเทรดแบบ Scalping ระยะสั้น และ ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า Spread ต่ำ
รูป 6 กลยุทธ์ Bounce
กลยุทธ์ Overbought / Oversold
กลยุทธ์นี้ เป็น เทคนิคที่ต้องอาศัยความเข้าใจของกราฟ พร้อมกับเครื่องมือในการช่วยวิเคราะห์ด้วย โดยจะต้องวิเคราะห์กราฟก่อนว่าตอนนี้เขาอยู่ในประเภทราคาแบบไหน
วิธีการใช้งาน
- แนะนำให้ใช้เครื่องมือ
- Relative Strength Index (RSI) เพื่อมองหาระดับ Overbought และ Oversold
- Overbought ผลิตภัณฑ์อยู่ในภาวะที่มีแรงซื้อมากเกินไป
- มีความเป็นไปได้สูงว่าราคาจะลดลง ให้หาจุดเข้าออเดอร์ Sell
- Oversold ผลิตภัณฑ์อยู่ในภาวะที่มีแรงขายมากเกินไป
- มีความเป็นไปได้ว่าราคาจะเพิ่มขึ้น ให้หาจุดเข้าออเดอร์ Buy
ข้อดี
- สามารถค้นหา overbought และ oversold ได้ทุกสภาพแวดล้อมของตลาด
- เหมาะกับนักเทรดทุกระดับ
ข้อเสีย
- ตลาดในช่วงที่ไม่มีความเคลื่อนไหวมากนัก ไม่แนะนำให้ใช้กลยุทธ์นี้
ข้อควรระวัง
- หากมีการเข้าเทรด ให้กำหนด TP/SL ชัดเจน เพื่อบริหารความเสี่ยงของตนเอง
รูป 7 กลยุทธ์ overbought และ oversold
กลยุทธ์ Counter-trend Forex
เรียกได้ว่าเป็นระบบเทรดแบบฉวยโอกาสในการเคลื่อนที่ของราคา สวนกับเทรนด์ตลาด อาศัยจังหวะย่อตัว หรือ การปรับฐานราคาก่อนที่ราคาจะไปต่อ
วิธีการใช้งาน
- เมื่อราคาขึ้น (Buy) ไปยังจุดสูงสุด จะต้องพบเจอกับแนวต้านสำคัญ ดังนั้นในจุดที่กราฟจะต้องย่อตัวสามารถกด Sell สวน
- เมื่อราคาลง (Sell) ไปถึงแนวรับสำคัญ จะต้องมีการปรับราคาดีดขึ้นไป จุดนี้สามารถเข้าออเดอร์ Buy ได้
- ราคาอาจจะผันผวนมากถึง 500-800 จุดเลยทีเดียวเพื่อปรับฐานแล้วไปตามเทรนด์ต่อ
ข้อดี
- อาศัยช่วงจังหวะราคาย่อตัวลง หรือ ยกตัวขึ้น ในการสร้างกำไร
- ในช่วงตลาดผันผวน เหมาะมากสำหรับการเทรดแบบ Scalping
ข้อเสีย
- ช่วงราคาผันผวนรุนแรงอาจไม่เป็นไปตามความคาดหมาย ช่วงประกาศตัวเลขข่าว
- ราคาอาจจะลงต่อโดยที่ไม่มีการเด้งกลับ ทะลุทุกแนวต้าน / แนวรับ
ข้อควรระวัง
- การเทรดโดยใช้กลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงที่สูงมาก ๆ ดังนั้นจึงเหมาะกับนักเทรดที่เข้าใจตลาด และ มีประสบการณ์ในการซื้อขายมาพอสมควร ไม่แนะนำสำหรับมือใหม่
รูป 8 กลยุทธ์ Counter-trend Forex
กลยุทธ์ Bollinger Bands
เป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมสูงสำหรับนักเทรดมืออาชีพ เพราะการใช้ เส้น Bolinger Bands นั้น จะแสดงกรอบของเส้นค่าเฉลี่ยที่เคลื่อนที่ ตีกรอบโอบล้อมราคาเอาไว้ ซึ่งหมายความว่า ราคายังคงเคลื่อนที่อยู่ในกรอบนั่นเอง
วิธีการใช้งาน
- เมื่อราคาแตะกรอบ Bollinger Bands ด้านบน หรือ ด้านล่าง ก็มีโอกาสที่จะกลับตัว
- แตะด้านบน ให้กด Sell
- แตะด้านล่าง ให้กด Buy
ข้อดี
- เป็นเทคนิคที่บอกได้อย่างชัดเจนว่า ราคาจะมีการกลับตัวชัดเจน ใช้งานได้
- ใช้งานง่ายมากเหมาะสำหรับมือใหม่
ข้อเสีย
- เมื่อมีช่วงกำลังซื้อ หรือ ขาย ที่ผันผวนอย่างรุนแรง อาจจะต้องปรับกรอบของเวลา
- ต้องดูคอยเฝ้าดูกราฟ ดูราคาอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการเทรด
ข้อควรระวัง
- เมื่อเข้าเทรดต้องบริหารความเสี่ยงให้ชัดเจน สำหรับมือใหม่ อย่าเห็นว่าง่าย เพราะมียังคงมีความเสี่ยง
รูป 9 กลยุทธ์ Bollinger Bands
The Pivot Point – ระดับ Supply และ Demand ที่สำคัญ
การค้นหา Supply Zone และ Demand Zone เป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า The Pivot Point ได้รับความนิยมสูง โดยใช้หลักการระดับ แนวรับ-แนวต้าน โดยใช้ค่าเฉลี่ยสูงสุด-ต่ำสุดของราคาปิด
วิธีการใช้งาน
- ถ้าแนวโน้มขาขึ้น นักเทรดจะใช้ Pivot Point เพื่อดูแนวรับในการเข้าเทรด
- หากเป็นแนวโน้มขาลง เทรดเดอร์จะใช้กลยุทธ์นี้เพื่อดูแนวต้าน และ หาจังหวะเข้า Sell
- หากตลาดมีพฤติกรรม ทำราคา Sideway ก็สามารถใช้งานแนวรับ และ แนวต้าน เข้าเทรดได้ทั้ง 2 แบบ
ข้อดี
- เมื่อมีการใช้กลยุทธ์จะทำให้คาดเดาพฤติกรรมของราคาได้ง่ายมากขึ้น
- มองหาจุดเข้าออเดอร์ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
ข้อเสีย
- หากไม่มีความรู้เรื่องแนวรับแนวต้านที่ชัดเจน อาจทำให้จุดคำนวณ ผิดพลาด
ข้อควรระวัง
- เป็นเทคนิคที่เหมาะกับแผนที่มีการควบคุมความเสี่ยง และ สร้างกำไรชัดเจน เช่น TP 500 จุด กำหนด SL 300 จุด
รูป 10 กลยุทธ์ The Pivot Point
ทุกกลยุทธ์ในการเทรด ไม่สามารถใช้งาน หรือ คาดเดาราคาได้ 100% เป็นเพียงการอ่านพฤติกรรมของตลาด และ ผลิตภัณฑ์ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ การมีระเบียบวินัยในการเทรดอย่างเข้มงวด การควบคุมอารมณ์ ยังคงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของการเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ สุดท้ายแล้วการมีประสบการณ์ และ การทดสอบก่อนการเทรดจริง(Back Test) พวกเราคาดหวังว่าทั้ง 10 กลยุทธ์จะช่วยให้นักเทรดมองหาช่องทางในการสร้างกำไรเพิ่มมากขึ้น