ความเป็นเอกลักษณ์ของนักเทรดแต่ละคน คือ กลยุทธ์แผนการเทรดรวมไปถึงสไตล์นิสัยการเทรดไม่เหมือนกัน ดังนั้นแล้วการมองหาโบรกเกอร์ที่เหมาะสมจึงเป็นจุดที่ละเลยไปไม่ได้ เพราะนักเทรดหลายคนก็รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบจากการทำงานของโบรกเกอร์ รวมไปถึงเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ค่า Spread, Leverage, Commission อีกทั้งค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นต้น เพราะนอกจากความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์ที่ต้องมีใบอนุญาตแล้ว รายละเอียดในการให้บริการอื่น ๆ ก็คือเรื่องสำคัญเช่นเดียวกันครับ ดังนั้นแล้วจะมีวิธีไหนบ้างที่จะคัดเลือกผู้ให้บริการที่เหมาะกับสไตล์การเทรดของเรา สามารถพิจารณาได้ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
รู้จักสไตล์การเทรดของตนเอง
สไตล์ หรือ นิสัยในการเทรดของคุณเองนั้นเป็นแบบไหน ? วันนี้หากใครยังมองไม่ออก ผู้เขียนมีวิธีการแยกสไตล์การเทรดออกเป็นดังต่อไปนี้
- เทรดแบบ Scalping: เรียกว่าชอบเทรดสั้น และ เทรดเร็วในช่วงเวลาของกราฟ 1 นาที หรือ 5 นาที
- เทรดแบบ Day Trading: การซื้อขายในวันเดียว ไม่มีข้ามคืน
- เทรดแบบ Swing Trading: เปิดออเดอร์ซื้อขาย เป็นตำแหน่งรายเดือน หรือ เป็นสัปดาห์
- เทรดแบบ Position Trading: เป็นการเทรดแบบระยะยาว มองหาจุดเข้า และ รอเวลาหลายเดือน หรือ เป็นปี
หากเลือกได้แล้วว่าคุณเองอยู่ในสไตล์ หรือ มีนิสัยการเทรดแบบใด ก็พร้อมแล้วครับที่จะต้องมองหาโบรกเกอร์ที่มีคุณสมบัติที่จะทำให้กลยุทธ์ของคุณเองนั้นได้เปรียบ
รูปที่ 1: อธิบายนิสัยการเทรด และ สไตล์การเทรด
เลือกใช้โบรกเกอร์จากเงื่อนไขของ บัญชีเทรด
ความแตกต่างของแต่ละโบรกเกอร์ คือ จำนวนการกำหนดค่า Spread พร้อมทั้งโครงสร้างของราคาที่กำหนดบางครั้งอาจจะไม่ตรงกับสไตล์การเทรดของเรา ดังนั้นแล้วพวกเราขอสรุปเกี่ยวกับค่าสเปรดว่าแบบไหน ? เหมาะสมกับสไตล์การเทรดแบบใด ขอแนะนำตัวเลือกดังต่อไปนี้ครับ
เลือกค่า Spread ให้เหมาะกับสไตล์การเทรด
- เทรดแบบ Scalping: จะเหมาะสำหรับโบรกเกอร์ที่มีค่าสเปรดต่ำ โดยเริ่มต้นที่ 0 Pips หรือ 0.2 Pips จะมีโอกาสในการสร้างกำไรได้ดีกว่า เรียกว่าได้เปรียบนั่นเอง
- เทรดแบบ Day Trading: จะค่อนข้างคล้ายกันกับการเทรดแบบ Scalping โดยเน้นไปที่โบรกเกอร์ที่มีค่าสเปรดต่ำ เพราะการเทรดใน 1 วัน จะต้องมองหาค่า Spread ที่ต่ำที่สุด
- เทรดแบบ Swing Trading: สำหรับการเทรดในระยะยาว ค่า Spread อาจจะไม่สำคัญเท่าค่าธรรมเนียม และ ค่าบริการอื่น ๆ
- เทรดแบบ Position Trading: ค่า Spread ไม่มีผลมาก
รูปที่ 2: อธิบายการเลือกค่าสเปรด ตามนิสัยการเทรด
เลือกค่า Leverage ให้เหมาะกับสไตล์การเทรด
- เทรดแบบ Scalping: หากคุณเทรดสั้นแบบสายซิ่ง ใช้ Lot ใหญ่ ขอแนะนำโบรกเกอร์ที่มีค่า Leverage เยอะ เริ่มต้นที่1:1000 จะทำให้คุณสร้างกำไรได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้น
- เทรดแบบ Day Trading: เน้นใช้ Leverage สูง เพื่อปรับให้ตรงตามกลยุทธ์ และ เร่งให้พอร์ตโตไวขึ้นด้วยการเพิ่ม Lot ใหญ่ขึ้น
- เทรดแบบ Swing Trading: ค่า Leverage อาจจะมองแค่ความเหมาะสม ซึ่งเริ่มต้นที่ 1:10 – 1:100 เป็นพื้นฐานการถือออเดอร์ระยะยาว
- เทรดแบบ Position Trading: ค่า Leverage อาจจะมองแค่ความเหมาะสม เน้นเทรดตามแผน ซึ่งจะแนะนำที่ 1:10 – 1:100 เพื่อป้องกันความเสี่ยง
รูปที่ 3: อธิบายการเลือกค่า Leverage ตามนิสัยการเทรด
เลือกค่า Commission ให้เหมาะกับสไตล์การเทรด
- เทรดแบบ Scalping: ส่วนใหญ่แล้วการเทรดแบบสั้น ๆ กำไรน้อย แต่หลายครั้ง ค่าคอมมิชชั่นเน้นเป็น 0 จะดีกว่ามาก
- เทรดแบบ Day Trading: การเทรดส่วนใหญ่แล้วอาจจะได้กำไรบ้าง หรือ ไม่ได้บ้าง แค่ถ้าค่าคอมมิชชั่นเน้นเป็น 0 จะดีที่สุด
- เทรดแบบ Swing Trading: การเทรดในระยะยาว เงื่อนไขค่าคอมมิชชั่น จะมาในรูปแบบไม่เสียเปรียบเกินไป เช่น ค่าสเปรดต่ำ หรือ บัญชี Free Swap
- เทรดแบบ Position Trading: การเทรดในระยะยาว เงื่อนไขค่าคอมมิชชั่น จะมาในรูปแบบไม่เสียเปรียบเกินไป เช่น ค่าสเปรดต่ำ หรือ บัญชี Free Swap
รูปที่ 4: อธิบายการเลือกค่า Commission ตามนิสัยการเทรด
เงื่อนไขอื่น ๆ ของบัญชี
- ค่า Swap: จะไม่เหมาะกับบัญชีที่ต้องถือระยะยาว เพราะวันพุธ จะมีค่าคิดค่า Swap x3 แต่ในปัจจุบัน หลายโบรกเกอร์ก็เริ่มที่จะฟรีค่าสว็อปแล้ว
- Stop Out: ค่าปิดออเดอร์ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้บริการ โดยส่วนใหญ่แล้ว โบรกเกอร์จะเน้นอยู่ที่ 70% หรือ 80% ของจำนวนเงินในบัญชี
ทำไมสเปรดที่แคบจึงสำคัญ?
ก่อนที่จะไปเรื่องอื่นให้ความรู้กันสักเล็กน้อยเกี่ยวกับ ความสำคัญของค่า Spread แคบ เพราะที่จะช่วยลดคต้นทุนการเทรด เพราะว่าจะจ่ายน้อยกว่าสำหรับการซื้อ หรือ การขายนั่นเอง เหมาะมากสำหรับคนชอบเทรดสั้น และ เทรดภายใน 1 วัน เพราะมีโอกาสในการได้กำไรมากกว่า
เลือกคุณภาพของแพลตฟอร์มการเทรด
คุณภาพของแพลตฟอร์มเทรด นักเทรดจะทราบกันดีว่าคือ MT4/MT5 แต่ในปัจจุบันก็มีความทันสมัยมากขึ้นกับแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์เอง รวมทั้ง Trading View จึงขอแนะนำวิธีการเลือกดังต่อไปนี้
- Scalping: แน่นอนว่าความรวดเร็วในการซื้อ-ขาย ก็ต้องการแพลตฟอร์มที่รวดเร็ว ไม่ค้าง
- Day Trading: แพลตฟอร์มที่สเถียร กราฟไม่ค้าง การตั้ง Pending Order ได้ตรงจุดไม่มีผิดพลาด ถือว่าตามแผนสำหรับการเทรดประจำวัน
- Swing Trading: แพลตฟอร์มที่ใช้ควรมีเครื่องมือให้ครบครัน ซึ่งส่วนใหญ่มี และแน่นอนว่ากราฟต้องไม่ค้าง ยิ่งไปกว่านั้นคนถือยาวก็ชอบความสเถียรของแพลตฟอร์มเช่นกัน
- Position Trading: การเทรดในระยะยาวก็จะใช้ Indicator ที่สำคัญ ซึ่งถ้าเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานได้ครบ ง่าย ถือว่าเยี่ยม ที่สำคัญระบบของแพลตฟอร์มก็ต้องดีเช่นเดียวกัน
ความน่าเชื่อถือ และ ความปลอดภัย
ขอเพิ่มเติมกันเล็กน้อย ถึงแม้ว่าสไตล์การเทรดของคุณจะเซียนแค่ไหน แต่ความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์ ก็ต้องมาก่อนเสมอครับ แน่นอนว่าต้องมีการควบคุมดูแล ทั้งใบอนุญาต การควบคุม นโยบายต่าง ๆ ซึ่งจะต้องชัดเจน
โดยหน่วยงานที่ดูแลจะต้องอยู่ในระดับสูงถึงปานกลาง เช่น FCA, ASIC, หรือ CySEC แต่ถ้าหากว่าโบรกเกอร์นั้นไม่มีการกำกับดูแล หรือ ไร้ความน่าเชื่อถือ เรื่องอื่น ๆ ก็จะดูไม่น่าไว้วางใจไปด้วยเช่นกันนั่นเองครับ
รูปที่ 5: Logo, ชื่อเต็ม และ ย่อขององค์กรกำกับดูแลระดับ Tier 1
การฝากเงิน-ถอนเงิน
การฝากเงิน-ถอนเงิน บอกได้ถึงนิสัยของการเทรดเช่นเดียวกัน เพราะเป้าหมายของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ซึ่งจะขอแบ่งประเด็นออกเป็นดังต่อไปนี้
เงื่อนไขการฝากเงิน
- เทรดแบบ Scalping และ เทรดแบบ Day Trading:
- มักจะฉาบฉวยกำไรได้เร็ว โอกาสมาถึงแล้ว ต้องการฝากเงินทันที
- มีช่องทางการฝากเงินง่าย เช่น QR Code, Crypto
- เทรดแบบ Swing Trading และ เทรดแบบ Position Trading
- ไม่สำคัญเรื่องฝากเงินเท่าไหร่ เทรดตามแผน
- ช่องทางการฝากเงิน อาจจะต้องการในรูปแบบที่มั่นคง เช่น บัตรเครดิต หรือ ฝากโดยโอนผ่านธนาคาร
เงื่อนไขในการถอนเงิน
- เทรดแบบ Scalping และ เทรดแบบ Day Trading:
- เมื่อได้กำไรแล้วก็ต้องการถอนอย่างรวดเร็ว เพื่อใช้กำไร
- ควรเลือกโบรกที่มีการถอนได้รวดเร็ว ไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง
- ไม่มีค่าธรรเนียมในการถอนเงิน
- เทรดแบบ Swing Trading และ เทรดแบบ Position Trading
- ไร้ความกังวลเรื่องการถอนเงิน
- ขอเพียงไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่มาก จนนักเทรดเสียเปรียบ
รูปที่ 6: อธิบายว่า การฝากถอนมีความสำคัญกับนิสัยการเทรดอย่างไร ?
ทดสอบใช้บัญชี Demo
หลักสำคัญเลยสำหรับการเลือกใช้โบรกเกอร์ นั่นก็คือ การทดสอบใช้บัญชีนั้นด้วยตนเอง โดยจะต้องทดสอบ และ ตรวจสอบอะไรบ้าง ขอแนะนำเลยว่าต้องทำดังต่อไปนี้
ทดสอบความลื่นไหลของกราฟ
- ตัวของกราฟมีความสเถียรหรือไม่
- ไม่ค้าง ไม่หน่วง ไม่ช้า
- การใช้งาน Indicator หรือ เครื่องมือต่าง ๆ ครบถ้วน ถูกต้อง หรือ มีข้อผิดพลาดหรือไม่
- ทดสอบ Login หรือ การตรวจดู ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ว่ามีครบหรือไม่
ทดสอบการซื้อ-ขาย
- Requote ทดสอบว่าได้ราคาตามที่ต้องการหรือไม่ ในฟังก์ชั่น Sell Limit / Buy Limit
- Pending Sell Limit / Buy Limit: สามารถใช้งานได้ 100%
- %Slippage มีเท่าไหร่บ้าง (ทดสอบโดยการเข้าเทรด)
- Negative มีกี่ครั้ง
- Positive พบกี่ครั้ง
รูปที่ 7: ฝึกฝน มองหาสไตล์การเทรดของตัวเอง เพื่อสร้างกำไรให้ยั่งยืน
งานบริการลูกค้าของโบรกเกอร์
ด้วยนิสัยการเทรดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่งานบริการของโบรกเกอร์ Forex ก็ต้องออกมาดีด้วย เพราะความต้องการบางครั้งถ้าพบปัญหาการฝากเงิน หรือ การถอนเงิน ทีมช่วยเหลือจะต้องช่วยได้ทันที รวดเร็ว แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้จะการันตีได้เลยว่าโบรกเกอร์นี้ใส่ใจลูกค้าทุกประเภทไหมนั่นเองครับ
ความรวดเร็วในการสมัครเปิดบัญชี / ยืนยันตามเวลาที่กำหนด
สำคัญมาก หากโบรกเกอร์นั้นยืนยันเกินเวลาที่กำหนด เช่น กำหนด 24 ชั่วโมง แต่ผ่านมา 3 วันแล้วยังไม่อนุมัติการสมัคร เชื่อเถอะ โบรกเกอร์นั้นก็ไม่น่าใช้งานแล้ว ทุกนิสัยการเทรดก็ต้องมองเรื่องนี้เป็นสำคัญ
มีเจ้าหน้าที่คนไทย / ให้บริการภาษาไทย
- แน่นอนว่าการได้คุยกับคนไทยด้วยกันจะรู้เรื่องที่สุด
- เลือกโบรกเกอร์ที่ให้บริการภาษาไทยด้วยจะดีมาก เพราะจะตอบเราได้ทุกเรื่อง และ ละเอียด
การเลือกใช้งานโบรกเกอร์ Forex ให้เหมาะสมกับนิสัยในการเทรดเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหนึ่งเลยจะทำให้นักเทรดได้รับการเอื้อประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ในส่วนของการได้เปรียบ หรือ เสียเปรียบนั้นขึ้นอยู่กับการยอมรับของผู้ใช้บริการนั่นเอง แต่สำหรับบางโบรกเกอร์ก็มีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกโกง เพราะไม่มีใบอนุญาต หรือ ไม่มีการควบคุม ซึ่งปัจจัยหลายอย่างก็ต้องมองดูว่าเรานั้นเหมาะสมกับโบรกเกอร์แบบใด สำหรับข้อมูลข้างต้นเชื่อว่าจะทำให้คุณมองภาพรวมออกเลยว่าสไตล์การเทรดของเรา จะเหมาะกับโบรกเกอร์แบบไหน
สรุป
ทำไมสเปรดที่แคบจึงสำคัญ?
- ลดต้นทุนการเทรด: สเปรดที่แคบช่วยลดต้นทุนการเทรดของคุณ เพราะคุณจะต้องจ่ายน้อยกว่าสำหรับการซื้อหรือขายสินทรัพย์
- เพิ่มความสามารถในการทำกำไร: เมื่อสเปรดแคบ คุณสามารถทำกำไรได้ง่ายขึ้นเพราะไม่ต้องเก็บกำไรที่สูงจากการซื้อขาย
- ความยืดหยุ่นในการเทรด: สำหรับนักเทรดที่ทำธุรกรรมบ่อยครั้งหรือใช้กลยุทธ์การเทรดระยะสั้น (เช่น Day Trading) สเปรดที่แคบช่วยให้การเทรดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
การเลือกโบรกเกอร์ Forex ให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นสาย Scalping ที่เน้นเทรดเร็วทำกำไรไว, สาย Day Trading ที่เน้นเทรดจบในวัน, สาย Swing Trading ที่ถือสถานะข้ามวันหรือข้ามสัปดาห์ หรือสาย Position Trading ที่เน้นลงทุนระยะยาว หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ Forex ที่มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น โบรกเกอร์ที่ Spread ต่ำที่สุด เราขอแนะนำให้ลองเข้าไปดูที่ ThaiBrokerForex เว็บไซต์นี้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโบรกเกอร์ Forex ชั้นนำ พร้อมรีวิวและเปรียบเทียบ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น