สำหรับการเทรด Forex นั้นเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างรายได้ เหมาะสำหรับผู้ที่อยากหารายได้เสริม หรือ พัฒนาตนเองจนกลายเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ ซึ่งถูกมองว่าเป็นช่องทางการหาเงินที่ง่าย รวดเร็ว ไม่ต้องลงแรง แต่สิ่งที่ต้องใช้ก็คือความรู้ความสามารถ รวมไปถึงวินัยและจิตวิทยา หากคุณเองเรียนรู้ไม่พอ หรือ ไม่สามารถควบคุมตนเองได้นั่นก็จะกลายเป็นคมดาบที่ทำให้คุณหมดตัวได้นั่นเอง โดยพวกเราจึงแนะนำ 10 วิธีเริ่มเทรด Forex ที่จะเริ่มกันตั้งแต่พื้นฐาน ไปจนถึงแนวทางในการสร้างกำไรอย่างมืออาชีพ ซึ่งพวกเราได้รวบรวมใจความสำคัญมาให้อ่านกันแบบเข้าใจง่ายแล้วในบทความนี้
เรียนรู้พื้นฐานของ Forex
การเริ่มเรียนรู้จากพื้นฐานของการเทรด Forex ไปทีละขั้น ถือว่าเป็นคำแนะนำที่ดีมากสำหรับมือใหม่ โดยจะขออธิบายได้ดังต่อไปนี้
การทำงานของตลาด
- Forex (Foreign Exchange) หมายถึง การซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศ เป็นตลาดยอดนิยม เพราะใหญ่ที่สุดในโลก มีปริมาณซื้อขายต่อวันมาก
- ตลาดจะเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ตลอดทุกวัน จันทร์-ศุกร์
- วันเสาร์-อาทิตย์ ตลาดจะให้บริการ คริปโคเคอเรนซี / ดอลลาร์สหรัฐ
- BTC/USD
- ETH/USD
- ช่วงเวลาของการเปิดตลาดจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงได้แก่
- ตลาดเอเชีย
- ตลาดยุโรป
- ตลาดสหรัฐอเมริกา
Forex ซื้อขายอะไรได้บ้าง?
- คู่สกุลเงิน
- EUR/USD (นิยม)
- USD/JPY (นิยม)
- สกุลเงินดิจิทัล
- BTC/USD (นิยม)
- ETH/USD (นิยม)
- สินค้าโภคภัณฑ์
- XAU/USD ทองคำ (นิยม)
- ดัชนี
- หุ้น
- ตราสารหนี้
- อนุพันธ์ทางการเงิน
ตัวอย่างการอ่านราคา:
สมมติว่าคุณเห็นคู่สกุลเงิน EUR/USD ที่ราคา 1.2050/1.2053:
- ราคาเสนอซื้อ (Bid Price): 1.2050
- ราคาเสนอขาย (Ask Price): 1.2053
- สเปรด: 1.2053 – 1.2050 = 3 pips
การเปลี่ยนแปลงราคา (Price Movement):
- ทิศทางการเคลื่อนไหว จะถูกเรียกว่า
-
- ราคาอาจเคลื่อนไหวขึ้น (bullish
- ราคาเคลื่อนไหวลงเรียก (bearish)
-
ประเภทคำสั่ง
- BUY LIMIT
- เมื่อกำหนด Buy Limit กราฟราคาวิ่งผ่านจะเปิดออเดอร์ Buy
- SELL LIMIT
- เมื่อกำหนด Sell Limit กราฟราคาวิ่งผ่านจะเปิดออเดอร์ Sell
- BUY STOP
- เมื่อกำหนด Buy Stop กราฟราคาวิ่งผ่านจะเปิดออเดอร์ Buy
- SELL STOP
- เมื่อกำหนด Sell Stop กราฟราคาวิ่งผ่านจะเปิดออเดอร์ Sell
รูปที่ 1: แสดงพื้นฐานของ Forex ที่คุณต้องรู้
เลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้
ความได้เปรียบในการเทรด Forex คือการเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม ทั้งเรื่องของระบบการเทรด ความน่าเชื่อถือ และ การบริการ สามารถอธิบายได้ดังต่อไปนี้ครับ
ความน่าเชื่อถือ
- ใบอนุญาตที่ได้รับการกำกับดูแลที่ตรวจสอบได้
- FCA
- ASIC
- อายุการให้บริการของโบรกเกอร์
- ต่ำกว่า 5 ปี ความน่าเชื่อถือต่ำ
- มากกว่า 5 ปี ไม่ถึง 10 ปี ความน่าเชื่อถือปานกลาง
- มากกว่า 10 ปี ความน่าเชื่อถือสูง (ทำรูป)
- การศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้
- รีวิวจาก Trust Pilot
- รีวิวจาก Forex Peace Army
- รีวิวจากเว็บไซต์รีวิวโบรกเกอร์
- รีวิวจากเทรดเดอร์ผู้ใช้งานจริง
ค่าบริการของโบรกเกอร์
- ค่า Spread ไม่เกินความเป็นจริง
- ค่า Leverage
- ค่าคอมมิชชั่น
- ค่าธรรมเนียมการฝาก-ถอน
ความลื่นไหลของการเทรด
- ตรวจสอบจากรีวิวโบรกเกอร์ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ
- ตรวจสอบจากกลุ่มนักเทรดเกี่ยวกับ โบรกเกอร์
- สอบถามจากเทรดเดอร์ผู้ใช้งานจริง หรือ ความคิดเห็นจากกลุ่มเทรด
การให้บริการของโบรกเกอร์
- การดูแลระบบหลังบ้าน
- การให้ข้อมูลทางด้านรายละเอียดอื่น ๆ ที่สำคัญ
- มีผู้จัดการบัญชีส่วนตัว
- การให้บริการในส่วนของความช่วยเหลือ
- สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด และ ชัดเจน
รูปที่ 2: ความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์ อ่านรีวิว และ หาข้อมูลที่เชื่อถือได้
เปิดบัญชีเทรดและทำความเข้าใจแพลตฟอร์ม
เลือกบัญชีเทรด
ถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะบัญชีเทรดแต่ละแบบนั้นตอบโจทย์แตกต่างกัน ความน่าสนใจก็คือ รายละเอียดของค่าบริการมักจะต่างกันด้วย
สำหรับมือใหม่
- เลือกบัญชีเทรดแบบ Cent / Micro
- ใช้สำหรับทดสอบตลาด ทดสอบแผน สำหรับผู้เริ่มต้น
- ได้กำไร และ ขาดทุน ในจำนวนที่น้อย
สำหรับมือสมัครเล่น และ มืออาชีพ
- เลือกบัญชีแบบ Standard
- การเข้าสู่ตลาดจริง มีความรู้เรื่องการเทรด และ มีแผนในการเทรด
- ได้กำร และ ขาดทุน ในจำนวนที่รับความเสี่ยงได้
รู้จักแพลฟอร์มที่ใช้ในการเทรด
- Meta Trader 4
- ใช้งานง่ายและมีความเสถียร
- มีฟังก์ชันการวิเคราะห์ที่หลากหลาย
- รองรับการซื้อขายอัตโนมัติด้วย Expert Advisors
- แพลตฟอร์มที่ได้รับการสนับสนุนจากโบรกเกอร์จำนวนมาก
- ข้อเสีย:
- อาจมีข้อจำกัดบางประการเมื่อเปรียบเทียบกับ MetaTrader 5
- บางฟังก์ชันที่ซับซ้อนอาจต้องการการเรียนรู้เพิ่มเติม
- Meta Trader 5
- รองรับหลายประเภทของตลาดและผลิตภัณฑ์การลงทุน
- ฟีเจอร์และเครื่องมือการวิเคราะห์ที่ก้าวหน้า
- การพัฒนาและการใช้ Expert Advisors ที่มีประสิทธิภาพ
- ระบบข่าวสารและปฏิทินเศรษฐกิจที่รวมอยู่ในแพลตฟอร์ม
- ข้อเสีย:
- มีความแตกต่างจาก MetaTrader 4 ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ MT4 ต้องใช้เวลาในการปรับตัว
รูปที่ 3: เรียนรู้แพลตฟอร์มเทรด ว่าใช้อะไรได้บ้าง ?
ตั้งเป้าหมายการเทรดและวางแผนการเงิน
เรื่องสำคัญที่สุดของเทรดเดอร์ทุกคน เมื่อเรียนรู้แล้ว จะต้องสร้างแผนในการเทรดให้ชัดเจน รวมทั้งวางแผนทางการเงินด้วย ซึ่งพวกเราขอแนะนำวิธีการดังต่อไปนี้ในการวางเป้าหมาย
สร้างเป้าหมายในการเทรดของตนเอง
- ตั้งเป้าหมายว่าจะเทรด กำไรวันละกี่ %
- กำไรวันละ 10% ของจำนวนเงินทุน
- ขาดทุนวันละ 5% ของจำนวนเงินทุน
- ช่วงเวลาในการเข้าเทรด
- เทรดเฉพาะช่วง 15.00 – 21.00 น.
- ใช้แผนการเทรดแบบ เข้าตาม แนวรับ / แนวต้าน
- กลยุทธ์แผนการเทรดแบบ Day Trade
- กำไร หรือ ขาดทุน ไม่มีการถือออเดอร์ค้างคืน
นี่คือส่วนหนึ่งของแผน หรือ เป้าหมายในการเทรด เพื่อสร้างกลยุทธ์ของตนเอง สำคัญมากหากคุณไม่มีแผน จะเท่ากับว่าคุณนั้น “เทรดมั่ว” นั่นเองครับ
วางแผนทางการเงิน
- ใช้เงินลงทุน เงินในส่วนของการเก็บออม (เงินเย็น)
- แบ่งเงินลงทุนเพียง 10% ของเงินออม
รูปที่ 4: กำหนดเป้าหมาย วางแผน แบ่งเงินลงทุนของตนเอง
เรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐาน
การวิเคราะห์ราคา หรือ พฤติกรรมของตลาด เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้คุณรู้เท่าทัน และ ได้เปรียบในการเทรด ดังนั้นแล้วเครื่องมือสำคัญที่คุณจะต้องทราบมีด้วยกัน 3 ระบบ ดังนี้
Moving Average เพื่อช่วยให้เห็นแนวโน้มและลดความผันผวนของข้อมูลที่อาจเกิดจากความแปรปรวนที่มีลักษณะชั่วคราว
RSI ตัวชี้วัดทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์ตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์การลงทุน เพื่อประเมินสภาวะ “ซื้อเกิน” หรือ “ขายเกิน” ของสินทรัพย์ โดยจะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจในการซื้อหรือขายได้ดีขึ้น
Bolinger Band ช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์แนวโน้มและความผันผวนของตลาดได้ดีขึ้น และตัดสินใจในการซื้อหรือขายตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาด
รูปที่ 5: วิเคราะห์กราฟ ราคาของผลิตภัณฑ์ ใช้ Indicator ในการวิเคราะห์
ทดลองเทรดด้วยบัญชีเดโม
ทดสอบความลื่นไหลของกราฟ
- ทดสอบด้วยการเช็คคู่กับ โบรกเกอร์อื่น ๆ หรือ Trading View
- ตรวจสอบค่า Spread ก่อนการเทรดจริง
ทดสอบการใช้คำสั่งเทรด
- ทดสอบเข้าออเดอร์ซื้อ-ขาย
- ทดสอบการใช้ Pending Order
ทดสอบ Requote และ %Slippage
- ทดสอบการเข้าซื้อ-ขาย ออเดอร์ แบบ One Click Trading
- กำหนด TP / SL
- ตรวจเช็คว่าได้ราคาตรงตามที่ต้องการหรือไม่
ถือได้ว่าเป็นข้อดีมาก ๆ สำหรับการที่โบรกเกอร์มีบัญชีทดลองให้ใช้ เพราะสามารถทดสอบถึงสภาพคล่องของผู้ให้บริการได้อย่างชัดเจน
รูปที่ 6: ทดสอบเทรดด้วยบัญชี DEMO ทดสอบค่า Spread และ ค่า Slippage ของบัญชีนั้น
เริ่มต้นด้วยการลงทุนต่ำและเพิ่มขึ้นเมื่อมั่นใจ
ใช้เงินลงทุน ที่เป็นเงินออม
- เงินออม เลือก 10% มาเป็นเงินลงทุนในการเทรด
- เป็นการต่อยอดเงิน 10% ที่ไม่กระทบกับการใช้เงินในชีวิต
ใช้จำนวนเงินทุนที่ต่ำ เพื่อทดสอบ และ ศึกษา
- ใช้เงินทุนต่ำ เพื่อทดสอบ และ ศึกษาการเทรด Forex
- ตัวอย่างเช่น
รูปที่ 7: เริ่มต้นด้วยการแบ่งเงินมาลงทุน ไม่กระทบกับการใช้ชีวิต
จัดการความเสี่ยงอย่างมีระเบียบ
ยอมรับความเสี่ยง
- มีการกำหนด SL ตามแผนที่ยอมรับความเสี่ยงได้
- หากคุณ โอเวอร์เทรด คุณต้องมีการยอมรับความเสี่ยง
- แต่ปกติแล้วไม่แนะนำสำหรับมือใหม่ หรือ ผู้ประสบการณ์น้อย
รูปที่ 8: จัดการความเสี่ยงอย่างมีระบบ ไม่โลภ ยอมแพ้ในจุด SL
ติดตามและประเมินผลการเทรดของคุณ
ตรวจสอบกำไร / ขาดทุน
- ตรวจสอบว่าได้กำไรเท่าไหร่
- ขาดทุนไปเท่าไหร่ ?
- เปรียบเทียบกำไรในแต่ละวัน, สัปดาห์, เดือน และ ต่อปี
ตรวจสอบอัตราการชนะ
- ในทุกออเดอร์ที่เข้าซื้อ-ขาย
- ออเดอร์ไหนบ้างที่ TP
- ออเดอร์ไหนบ้างที่ SL
มีการสรุปข้อมูลประจำเดือน ประจำวัน
- เปรียบเทียบกำไรในแต่ละวัน
- กำไรประจำสัปดาห์
- กำไรประจำเดือน
รูปที่ 9: ประเมินผลการเทรด รายวัน รายเดือน รายปี
เรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
ศึกษาเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
- อ่านหนังสือเกี่ยวกับ Forex
- เพราะมีหลายเรื่องที่คุณเองอาจจะยังไม่รู้
- ศึกษาแผนการเทรดแบบใหม่
- เข้าร่วมสังคมเทรด เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล
- พัฒนาตนเอง ด้วยการเปิดรับความคิดเห็นใหม่ ๆ
- อ่านรีวิวโบรกเกอร์จากเว็บไซต์อื่น
- หรือ ศึกษาต่อยอดเกี่ยวกับการเทรด Forex
รูปที่ 10: พัฒนาตนเองอยู่เสมอ เปิดรับความรู้ใหม่ ๆ สังคมเทรดจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้กันเสมอ
หากจะมองว่าการหารายได้จาก Forex นั้นเป็นเรื่องที่ง่าย ก็ไม่ใช่ความคิดที่ผิดอะไรครับ แต่สิ่งที่ต้องทำหลังจากที่ได้เข้ามาเรียนรู้แล้วนั่นก็คือ การมีแผน, การตั้งเป้าหมาย, การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม รวมไปถึง การประเมินและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามการจะสร้างกำไรได้อย่างมั่นคงจะต้องใช้เวลากับความพยายามเป็นอย่างมาก โดยขั้นตอนทั้ง 10 วิธีนี้จะทำให้คุณมีภูมิคุ้มกันในการเข้าสู่ตลาด Forex ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน